tag:blogger.com,1999:blog-39392947408408313872024-03-19T03:26:56.928-07:00INFRAREDnakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.comBlogger15125tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-43199143185322883652007-01-06T07:42:00.000-08:002007-01-06T07:43:21.743-08:00<span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#666600;">การค้นพบรังสีอินฟราเรด</span><br /><span style="font-family:verdana;color:#336666;"> ในปี ค.ศ. ๑๘๐๐ ขณะที่ เฮอเชล กำลังติดตามศึกษาดวงอาทิตย์อยู่ ในกล้องดูดาว ต้องมีการใช้เลนส์กรองแสง ซึ่งทำเป็นสีต่างๆ เฮอเชล ต้องการทราบว่า ในเลนส์แต่ละสี จะเปลี่ยนค่าแสดงความร้อนของดวงอาทิตย์หรือไม่ ท่านจึงประดิษฐ์อุปกรณ์การทดลองอย่างง่ายๆ เพื่อหาคำตอบ ซึ่งนับเป็นวิธีทดลองที่หลักแหลมเป็นอย่างมากท่านใช้ปริซึมแยกแสง แล้วให้แสงต่างๆมาตกที่เทอร์โมมิเต้อร์ ซึ่งทาสีดำที่กะเปาะ เพื่อให้ดูดความร้อนดียิ่งขึ้น ความที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดถี่ถ้วนเป็นวิสัยประจำตัว ท่านก็ตั้งเทอร์โมมิเตอร์ตัวหนึ่งนอกเหนือจากแสงสีต่างๆนั้น เพื่อเป็นตัวควบคุมการทดลอง ปรากฏว่า แสงสีต่าง มีอุณหภูมิสูงกว่าแสงสีขาว และอุณหภูมิสูงขึ้นจาก สีม่วง ไปหาสีแดง เฮอเชล จึงเกิดความอยากรู้ขึ้นมา แล้ววัดแถบเหนือแสงสีแดงขึ้นไปที่ไม่ปรากฏมีสีอะไร ดูเหมือนแสงอาทิตย์ธรรมดาเท่านั้นเอง แต่ เฮอเชล ก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อปรากฏว่า เทอร์โมมิเตอร์ ตัวที่อยู่นอกเหนือจากแสงสีแดงนั้น กลับวัดได้อุณหภูมิสูงกว่าทุกตัวเฮอเชล จึงทำการทดลองต่อไป ก็พบว่า ส่วนของแสงที่มองไม่เห็นแต่ร้อนกว่าสีแดงนี้ มีคุณสมบัติทางกายภาพเช่นเดียวกับคลื่นแสงที่มองเห็นได้ทุกประการ เช่น การหักเห ดูดซับ ส่องผ่านหรือไม่ผ่านตัวกลาง ฯลฯ ในตอนแรก ท่านเรียกแสงนี้ว่า calorific rays ซึ่งก็เช่นเดิมที่การตั้งชื่อของท่านไม่ค่อยจะเป็นที่ถูกใจใครเท่าไรนัก รังสีที่ถูกค้นพบใหม่นี้ ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น รังสีอินฟราเรด ที่เรารู้จักกันมาทุกวันนี้</span>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-69453972439956676472007-01-06T07:36:00.000-08:002007-02-09T01:31:20.163-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<a href="http://3.bp.blogspot.com/_BYPNrr70xzQ/RZ_CwRQw9_I/AAAAAAAAABk/Wegla7jwULA/s1600-h/images7.jpg"></a><br /><div><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#009900;">ตัวอย่างอินฟาเรดใน Wireless LANWireless LAN</span> </span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#ff9900;">เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นแม่เหล็กในอากาศ เช่น คลื่นวิทยุ (Radio Frequency) หรือ คลื่นอินฟราเรด (Infrared) สำหรับการสื่อสารข้อมูลต่างๆ จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยไม่ต้องพึ่งพาสายนำสัญญาณ (สายเคเบิล) ให้ลำบากหรือยุ่งยากอีกต่อไป เทคโนโลยี Wireless LAN จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า แอคเซส พอยต์ (access point) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับรับและส่งสัญญาณ และเชื่อมต่อเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของ Fixed Line ที่มีอยู่แล้ว โดยปกติ แอคเซส พอยต์หนึ่งตัวจะสามารถรองรับการทำงานของ โน้ตบุค หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่มีการ์ดไร้สายเสียบอยู่ได้หลายตัว ซึ่งรัศมีของสัญญาณจะกินขอบเขตโดยประมาณอย่างต่ำที่ 50 เมตร จนถึง 200 เมตรสำหรับระยะทางที่ไกลที่สุดระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System - NOS) สามารถรองรับการทำงานของโหนดของ Wireless LAN ได้เหมือนกับระบบ LAN ที่ใช้สายโดยทั่วๆ ไป โดยผ่านอุปกรณ์ไดร์ฟเวอร์ของเครือข่าย ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้ว NOS ก็จะดูแล Wireless Node เหมือนกับส่วนต่างๆ ของเครือข่ายในเดือนมิถุนายน 2540 สถาบัน IEEE (The Institute of Electronics and Electrical Engineers) ได้ออกข้อกำหนดสำหรับมาตรฐานของระบบ Wireless Ethernet LAN ที่มีชื่อว่า IEEE 802.11b ซึ่งรับส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz หรือที่รู้จักกันในนาม Wi-Fi ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ย่านความถี่นี้ เช่น Bluetooth, โทรศัพท์ไร้สาย และเตาไมโครเวฟ ปัจจุบัน Wi-Fi ตามมาตรฐาน 802.11b สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 11 Mbps และ 802.11g สามารถรับส่งด้วยความเร็ว 54 Mbps ทั้งสองมาตรฐานใช้คลื่นวิทยุความถี่ที่ 2.4 GHz ซึ่งสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในบ้านเรา ส่วน มาตรฐาน 802.11a สามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 54 Mbps แต่ใช้คลื่นความถี่ที่ 5 GHz ซึ่งมีสัญญาณรบกวนน้อยกว่า แต่คลื่นความถี่ย่านนี้ไม่สามารถนำมาใช้งานอย่างสาธารณะในบ้านเราได้ เนื่องจากคลื่นความถี่นี้ถูกจัดสรรให้กับการใช้ในกิจการอื่นอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ มาตรฐานของ Wireless LAN ในอนาคต จะมีการเพิ่มขีดความเร็วในการรับส่งให้สูงกว่าเดิม<br /></span><span style="font-size:130%;color:#cc0000;"><strong>ข้อจำกัดของ</strong> Wireless LAN</span> </span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#ff6666;">ถึงแม้ว่าข้อดีจะมีมากมาย แต่ Wireless LAN ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการด้วยกัน เช่น ในระหว่างการใช้งาน อาจมีสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุ หรือจากเครือข่าย Wireless LAN อื่น อุปกรณ์จากผู้ขายแต่ละเจ้าอาจจะไม่สามารถเข้ากันได้ เนื่องจากติดอยู่กับผู้ให้บริการรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผู้ค้าหลายๆราย อาจจะเพิ่มฟีเจอร์ (feature) ที่ไม่ได้มาตรฐานเพิ่มขึ้นมาความปลอดภัยของ Wireless LAN Wireless LAN ก็เหมือนกับ Fixed Wire LAN ที่ช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อภายในเครือข่ายขององค์กรใด องค์กรหนึ่ง ใน Wire LAN (หรือการเชื่อมต่อโดยมีสายเคเบิลรองรับ) ไม่จำเป็นต้องมี ข้อกำหนดมาตรฐานใดๆ มารองรับ เนื่องจากความปลอดภัยทางกายภาพ (physical security) ของสายเคเบิลได้ป้องกันตัวเองไว้แล้ว ตรงข้ามกับ Wireless LAN ซึ่งไม่ได้ใช้สายเคเบิลแต่ใช้สัญญาณวิทยุสำหรับส่งผ่านข้อมูลผ่านกำแพงต่างๆ ในองค์กร ซึ่งตรงนี้ส่งผลให้บุคคลภายนอกสามารถจับสัญญาณเหล่านี้ได้ในลานจอดรถ หรือโถงของตึก</span></span></div>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-24531730459402682922007-01-06T07:34:00.001-08:002007-02-06T02:56:51.724-08:00<div><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#663333;">ตัวอย่างแสงอินฟาเรดในนักดาราศาสตร์</span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#996633;">จากบทความในวารสาร Science ฉบับวันที่ 6 ธันวาคม 2545 ได้กล่าวถึงการเตรียมส่งกล้องส่องทางไกลที่ใช้ในอวกาศโดยใช้แสงอินฟราเรด (Space Infrared Telescope Facility - SIRTF) ขึ้นไปในอวกาศโดยกล้องที่ว่านี้มีขนาดสูงเพียงแค่ 4 เมตรและประกอบไปด้วยกระจกสะท้อนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 0.85 เมตร กล้อง SIRTF ดังกล่าวมีกำหนดการส่งไปในอวกาศในวันที่ 15 เมษายน 2546 ณ Kennedy Space Center มลรัฐฟลอริดา หลังจากที่ถูกเลื่อนกำหนดออกไปจากเดิมในวันที่ 29 มกราคม 2546 เนื่องจากองค์การ NASA จำเป็นที่จะต้องส่งดาวเทียมทางทหารขึ้นไปก่อน กล้อง SIRTF มีคุณสมบัติในการดักจับความร้อนที่เกิดขึ้นของดวงดาวที่ห่างไกลในระบบกาแล็คซี่ ดักจับความร้อนในดวงดาวในทางช้างเผือกและใช้สังเกตการเกิดการเปลี่ยนแปลงของก๊าซและฝุ่นละอองที่ปกคลุมอยู่รอบๆดวงดาวที่มีอายุน้อยและดาวเคราะห์ต่างๆ โดยการใช้กัมมันตภาพรังสีอินฟราเรดเจาะทะลุกลุ่มฝุ่นละอองเพื่อเปิดทัศนวิสัย ภารกิจของ SIRTF ในอวกาศกำหนดไว้เป็นเวลา 5 ปีและใช้งบประมาณเป็นจำนวนเงิน 720 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กลุ่มนักดาราศาสตร์ทั้งหลายรวมทั้งนาย B. Thomas Boifer ผู้อำนวยการ SIRTF Science Center แห่ง California Institute of Technology (Caltech) ณ เมืองพาซาดินา มลรัฐแคลิฟอร์เนียเชื่อว่าด้วยการสังเกตการณ์โดยใช้กล้อง SIRTF นี้จะสามารถหาข้อสรุปในเรื่องราวการเกิดและความเป็นไปของดวงดาวต่างๆในระบบกาแล็คซี่ได้</span></span></div>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-25583409382241723202007-01-06T07:31:00.000-08:002007-01-06T07:34:01.599-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG3mWGteYueiyMy-IY8nR6rs_fCPJ9lnqYVKEBffJQb9kgiAn-buFNy7GEqZP2LfQ2KW_awv87TCwJFzATDBu8MidnLZ3c8qF9GM0pkp4bUZ9gNXxPF9GedbGVNcHX_gapDc4Nl631DVqO/s1600-h/images6.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5016941063889287122" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" height="142" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG3mWGteYueiyMy-IY8nR6rs_fCPJ9lnqYVKEBffJQb9kgiAn-buFNy7GEqZP2LfQ2KW_awv87TCwJFzATDBu8MidnLZ3c8qF9GM0pkp4bUZ9gNXxPF9GedbGVNcHX_gapDc4Nl631DVqO/s400/images6.jpg" width="170" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#333399;">ตัวอย่างแสงอินฟาเรดในวงการแพทย์</span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#330099;">ระบบเลเซอร์ที่ใช้กันแพร่หลายคือ "คาร์บอนไดออกไซด์" ซึ่งจะผลิตแสงอินฟราเรดที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย(แสงอินฟราเรดนี้พบได้ในไอแดด,ไอร้อนจากเตา,น้ำร้อน,กระทั่งไออุ่นจากร่างกายคน) แต่มีพลังงานสูงพอที่จะใช้รักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด เช่น ไฝ กระ หูด รอยสัก เนื้องอก และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น ตามโรงพยาบาลต่างๆ ยังไม่นิยมใช้ เนื่องจากขาดความรู้ งบประมาณ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ</span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#cc66cc;"><strong>ข้อดี ของการใช้</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#993399;">1. ปลอดจากเชื้อโรค เพราะความร้อนจะทำลายเชื้อโรคไปด้วย </span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#993399;">2. ลดการติดเชื้อจากเครื่องมือผ่าตัดเพราะไม่ต้องสัมผัสกับเครื่องมือ </span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#993399;">3. ไม่เสียเลือดเพราะไม่มีเลือดออกระหว่างทำเลเซอร์ </span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#993399;">4. หลีกเลี่ยงการทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆเนื่องจากลำแสงมีขนาดเล็กมาก </span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#993399;">5. ลดอาการปวดแผล เนื่องจากลำแสงปิดกั้นปลายประสาทที่ผิวหนัง</span></div><br /><div><span style="font-family:verdana;color:#993399;">6. ไม่ต้องเย็บแผลหรือตัดไหม ยกเว้นกรณีที่ใช้ลำแสงแทนมีดผ่าตัด</span></div>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-49658569823501802372007-01-06T07:28:00.000-08:002007-01-06T07:31:00.052-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3X3KcHYiVXx_ae6RoIJucmnOnDbE8rUfIhorUUwhEtbHz0rPzayHpp50jMaqVHNXe4jhW1BF-OLEPgHOJMcGP4gBD4OAf-PziaiBgESeo7L2aBxkas7nnsY_ScQY6gsuuJ9RjPa5R-LM5/s1600-h/images4.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5016939801168902050" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3X3KcHYiVXx_ae6RoIJucmnOnDbE8rUfIhorUUwhEtbHz0rPzayHpp50jMaqVHNXe4jhW1BF-OLEPgHOJMcGP4gBD4OAf-PziaiBgESeo7L2aBxkas7nnsY_ScQY6gsuuJ9RjPa5R-LM5/s400/images4.jpg" border="0" /></a><br /></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhm3mVhk5tzohC1y0K9D39C2OtNgAsifPpzkZ0wcZiZLGuoP2Rd0BHJbDdeLQC3O3F3NCSSeuIfloDuxt6SkxyiQKtwFoK3yLgfeeQ1L0m33iYWkgC4YrPMCRZFCSXkZRYNw_b0DC6Mq6hu/s1600-h/images2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5016940226370664386" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 154px; CURSOR: hand; HEIGHT: 94px" height="73" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhm3mVhk5tzohC1y0K9D39C2OtNgAsifPpzkZ0wcZiZLGuoP2Rd0BHJbDdeLQC3O3F3NCSSeuIfloDuxt6SkxyiQKtwFoK3yLgfeeQ1L0m33iYWkgC4YrPMCRZFCSXkZRYNw_b0DC6Mq6hu/s400/images2.jpg" width="142" border="0" /></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5016939904248117170" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" height="70" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0AfiKlDBlXm9JX5Y7HzGSbiA3bG_KC84oSRjF1BSWSy1MI8Oov68WE5RfrLdAeGpoTx06_jB4uz2CWDR5NiQwNy5NAEzIqSRT4mtfIk9p0hsseeyoXwSu6vjSMX-0xEMR91TgezZdzn25/s400/images1.jpg" width="171" border="0" /><br /><br /><div></div><br /><div align="center"><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#993399;">แสงอินฟราเรด (Infrared)</span></div></div>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-83809832577186558522007-01-06T07:26:00.000-08:002007-01-06T07:27:46.021-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaGw_bYrSXjvrLiIPimYSbqpZsLSE_z5a7CmZKbqGGzD3m7xErcb7sem08mi2bDYtvScBTE6CbnpHbmVNxif5DZD7gnml_dOvSES4jqNmITndkWZ9oDfbm_G1_X-iiIEbfhWKxDOsfVN6b/s1600-h/images.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5016939260003022738" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaGw_bYrSXjvrLiIPimYSbqpZsLSE_z5a7CmZKbqGGzD3m7xErcb7sem08mi2bDYtvScBTE6CbnpHbmVNxif5DZD7gnml_dOvSES4jqNmITndkWZ9oDfbm_G1_X-iiIEbfhWKxDOsfVN6b/s400/images.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#006600;">ตัวอย่างหลักการทำงานของแสงอินฟาเรด(INFRARED)</span></div>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-78804367503028795252007-01-06T07:21:00.000-08:002007-01-06T07:25:05.783-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiX-fRcPd1fpLfuGyIAh3-kwKTIlUu4CNt5H3ZVDM2mhy3Zx-ZxtwnEsCI8693WP5RApMII5oiM1a3Fc8nqEjXN3-e3vEKdj0l4Tga3CnZZm7ZuEEFuI2_YokzRcN2ICsnYcHtxi0B7B0IW/s1600-h/images3.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5016938396714596226" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiX-fRcPd1fpLfuGyIAh3-kwKTIlUu4CNt5H3ZVDM2mhy3Zx-ZxtwnEsCI8693WP5RApMII5oiM1a3Fc8nqEjXN3-e3vEKdj0l4Tga3CnZZm7ZuEEFuI2_YokzRcN2ICsnYcHtxi0B7B0IW/s320/images3.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#cc0000;">ปัญหาที่พบได้บ้าง แต่ไม่บ่อยหรือแก้ไขได้ </span></div><div>1. ความร้อนจากแสง อาจทำให้เจ็บเล็กน้อยซึ่งแก้ไขได้โดยการฉีดยาชา หรือทายาชาไว้ก่อนก็จะไม่เจ็บ </div><div>2. แผลจากการทำเลเซอร์ จะตกสะเก็ดภายใน 7-10 วัน และจะจางหายไปภายใน 2 - 3 เดือน </div><div>3. มีส่วนน้อยที่เป็นรอยดำชั่วคราวซึ่งจะจางหายไปสนิทได้ภายใน 3 - 6 เดือนแล้วแต่ผิวหนังของแต่ละคน </div><div>4. เลเซอร์มีประโยชน์มากมายต่อการรักษาโรคผิวหนัง แต่แพทย์ที่ใช้จะต้องผ่านการศึกษาและฝึกฝนจนชำนาญเสียก่อน ดังนั้นหากจะรักษาด้วยเลเซอร์ ควรเลือกปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือนี้โดยเฉพาะเท่านั้น</div>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-39822063777446008082007-01-06T07:16:00.000-08:002007-01-06T07:21:01.553-08:00<span style="font-family:verdana;color:#cc6600;"><strong>อุปกรณ์</strong></span><br /><span style="font-family:verdana;">• LED infared ตัวส่ง 1 ตัว </span><br /><span style="font-family:verdana;">• LED infared ตัวรับ 1 ตัว </span><br /><span style="font-family:verdana;">• Resistor ค่าความต้านทาน 330 โอมห์ 1 ตัว ( 1/4 W ,Error 5% ) </span><br /><span style="font-family:verdana;">• สายแพ 3 เส้น (ความยาวตามต้องการ) </span><br /><span style="font-family:verdana;">• ปลอกคอนเน็คเตอร์ก้างปลา 3 รู พร้อมไส้</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;color:#339999;"> สำหรับเซ็นเซอร์ชุดนี้นั้นอาจมีความยุ่งยาก และสร้างความสับสน สำหรับบุคคล ที่ยังไม่เคยชินกับอุปกรณ์ LED infared ตัวรับ และตัวส่ง ซึ่งในท้องตลาดเรามีขายอยูมากมายหลายแบบ เพราะบางครั้ง อาจซื้อมาไม่เหมือนกันได้ ดังนั้นจึงมีตัวอย่างมาให้ดู ในภาพ ตัวส่ง จะเป็นลักษณะเหมือน LED ทั่ว ๆ ไป ตัวใส ๆ ขาที่ยาวกว่า เป็นขาแอโนด (ขาบวก) ส่วนขาที่สั้นกว่าเป็นขาแคโถด (ขาลบ) บางร้านอาจเป็นแบบตัวสีฟ้า ๆ ใส ๆ ซึ่งสามารถใช้งานได้เหมือนกันส่วนตัวรับ ตามตัวอย่างในภาพนั้น จะมีลักษณะเป็น สี่เหลี่ยม ถึงแม้ว่าขาของอุปกรณ์นั้นจะถูกตัดมาเท่ากัน แต่การสังเกตุนั้นให้ดูที่ตัวถัง ฝั่งที่มีรอยบาก จะเป็นขาแคโถด แต่หากใครไปซื้อได้แบบ ตัวดำๆ รูปร่างคล้ายทรานซิสเตอร์ แต่มีสองขา ใช้ได้เหมือนกัน และแบบนั้นโรงงานจะตัดขามาไม่เท่ากัน ขาที่ยาวกว่าจะเป็นแอโนดครับ ที่เหลือก็เป็นแคโถด หรือถ้าซื้อได้แบบที่เป็นตัวใส ๆ เหมือนกับตัวส่ง ก็ใช้ได้เหมือนกัน ดูขาเหมือนกัน</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;font-size:130%;color:#996633;">การสร้าง</span><br /><span style="font-family:verdana;"> <span style="color:#ffcc33;">การสร้างสำหรับการสร้างคงไม่มีอะไรวุ่นวาย เพราะมีอุปกรณ์เพียงแค่ 3 ตัว อาจหาเศษแผ่นปริ๊นท์เล็ก ๆ มาใช้ในการลงอุปกรณ์ หรือถ้าขี้เกียจ และเมื่อทำเสร็จแล้ว อาจหาอะไรมาทำเป็นกระบอก สวมครอบชุดเซ็นเซอร์ เอาไว้ เพื่อเป็นการป้องกันแสงจากภายนอกมารบกวนการทำงานของเซ็นเซอร์ จากตัวอย่าง แป๊บอลูมีเนียมสี่เหลี่ยม มาทำเป็นกระบอกครอบชุดเซ็นเซอร์</span></span><br /><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#666600;">การทดสอบ</span><br /><span style="font-family:verdana;"> <span style="color:#009900;">ก่อนที่จะมีการทดสอบการทำงานของชุดเซ็นเซอร์นั้น จะต้องมีการปรับแต่งกันก่อน ทั้งนี้เนื่องจากสภาพของแสง ในแต่ละสถานที่นั้น มีความเข้มของแสงไม่เท่ากัน เราจะปรับแต่งโดยการ ต่อชุดเซ็นเซอร์ที่เราทำ เข้ากับ Micro Activities Board (ที่คอนเน็คเตอร์ S0 - S3 ชุดใดก้อได้) แล้ววางเซ็นเซอร์ ไว้เหนือพื้นผิวสีดำ (ผมใช้กระดาษสีดำ) ให้อยู่สูงจากพื้นประมาณไม่เกิน 1 - 2 ซ.ม. แล้วใช้ไขควงแบน เล็ก ๆ ปรับที่ทริมเมอร์ (ชุดเดียวกันกับที่ต่อเซ็นเซอร์) จนกระทั่ง LED สีเขียวติดสว่าง แล้วหยุดแค่นั้น แต่ถ้า LED สว่างอยู่แล้ว ให้ปรับจน LED ดับก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับขึ้นมาจน LED สว่าง แล้วหยุดแค่นั้นคราวนี้ก็มาถึงขั้นของการทดสอบ โดยการขยับตัวเซ็นเซอร์ ไปไว้บนพื้นที่เป็นสีขาวบ้าง (กระดาษ A4 สีขาว) LED จะต้องดับ ถ้า LED ไม่ดับ ให้ใช้ไขควงแบนเล็ก ๆ ค่อย ๆ ปรับจน LED ดับ (จะต้องถือตัวเซ็นเซอร์ไว้นิ่ง ๆ)เมื่อปรับได้แล้ว คราวนี้ลองขยับเซ็นเซอร์ มาวางไว้บนพื้นสีดำ คราวนี้ LED จะต้องติดสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนครั้งแรก ลองทดสอบเลื่อนไป เลื่อนมา ระหว่างสีขาว กับสีดำ ดูว่าเซ็นเซอร์มีการตอบสนองที่ดีพอหรือไม่ โดยการสังเกตุจาก LED เท่านี้ เซ็นเซอร์ของเราก็พร้อมที่จะนำไปใช้งานแล้วการสร้างสำหรับการสร้างคงไม่มีอะไรวุ่นวาย เพราะมีอุปกรณ์เพียงแค่ 3 ตัว อาจหาเศษแผ่นปริ๊นท์เล็ก ๆ มาใช้ในการลงอุปกรณ์ หรือถ้าขี้เกียจ และเมื่อทำเสร็จแล้ว อาจหาอะไรมาทำเป็นกระบอก สวมครอบชุดเซ็นเซอร์ เอาไว้ เพื่อเป็นการป้องกันแสงจากภายนอกมารบกวนการทำงานของเซ็นเซอร์ จากตัวอย่าง แป๊บอลูมีเนียมสี่เหลี่ยม มาทำเป็นกระบอกครอบชุดเซ็นเซอร์</span></span><br /><span style="font-family:verdana;color:#009900;"></span>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-36177160229077880112007-01-06T07:07:00.000-08:002007-01-06T07:15:03.629-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<span style="font-family:verdana;color:#ff6600;"><strong>ข้อดี- ข้อเสีย</strong></span><br /><strong><span style="font-family:Verdana;color:#ff6600;"></span></strong><br /><span style="font-family:verdana;"> ข้อดี :</span><br /><span style="font-family:verdana;"> คือ สร้างได้ง่าย ราคาถูก และมีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลดีกว่าคลื่นวิทยุ </span><br /><span style="font-family:verdana;"> ข้อเสีย :</span><br /><span style="font-family:verdana;"> คือ ไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสงได้</span><br /><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#ff0000;"><strong>ตัวอย่าง :</strong> </span>เซนเซอร์ตรวจจับแสงอินฟาเรดเซนเซอร์ตรวจจับแสงอินฟาเรด </span>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-29089349246981196722007-01-06T07:01:00.000-08:002007-01-06T07:07:22.166-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<span style="font-family:verdana;"><span style="color:#cc33cc;">หลักการทํางานของอินฟราเรดมี</span> <span style="color:#ff0000;">(INFRARED)</span> <span style="color:#cc33cc;">ดังนี้</span></span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#009900;">1.</span> จัดตําแหน่ง : ในการพิมพ์ไฟล์จากโน้ตบุ๊ค ให้วางอุปกรณ์นั้น 3 ฟุตจากเครื่องพิมพ์ที่เหมาะสมกับ IR ชี้ที่พอร์ต IR (หรือที่เรียกว่าโฟโตไดโอด) ตรงไปยังโฟโตไดโอดของเครื่องพิมพ</span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#009900;">2.</span> ส่ง : พัลส์ของแสงอินฟราเรดจะถูกส่งไปกลับระหว่างอุปกรณ์สองตัวเพื่อขนถ่ายแพ็กเกตของข้อ มูลที่ประกอบกันเป็นแพ็กเกตจะถูกสื่อสารด้วยพัลส์เปิด/ปีดของแสงอินฟราเรดโดยพัลส์จะถูกอ่าน ในรปของรหัสไบนาร</span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#009900;">3.</span> รับ : โฟโตไดโอดจะรับแพ็กเกต ซึ่งจะถูกแปรกลับไปเป็นข้อมูลอีกครั้ง เครื่องพิมพ์หรือพีซีในด้าน รับจะประมวลผลข้อมูลที่ได้มาจากการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ใช้สายเคเบิล</span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#009900;">4.</span> การขัดขวาง : ถ้ามีวัตถุมาขัดขวางลําของพัลส์ของอินฟราเรดขณะ ที่ข้อมูลกําลังถูกส่งสัญญาณจะ ถูกบล็อก อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ด้านส่งจะรับรู้ข้อผิดพลาดและทําการส่งข้อมูลที่ขาดหายไปใหม </span>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-56947663477404524782007-01-06T06:57:00.000-08:002007-01-06T06:59:13.506-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<span style="font-family:verdana;color:#ff0000;"><span style="color:#993399;">การใช้งาน</span> Infrared</span><br /><span style="font-family:verdana;">ตัวอย่าง การต่อ Infrared ระหว่าง โทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์ notebook </span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#3333ff;">1.</span> เริ่มต้นด้วยการเปิดสัญญาณ Intrared จากโทรศัพท์มือถือ โดยทั่วไปจะอยู่เมนู Connection ให้เลือก Turn on Infrared </span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#3333ff;">2.</span> หลังจากนั้นวางตำแหน่งของ โทรศัพท์มือถือในช่องที่มีสีแดง ให้ตรงกับช่องสีแดงของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ notebook (เพื่อให้การส่งสัญญาณเป็นทางเดียวกัน) </span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#3333ff;">3.</span> อุปกรณ์จะเชื่อมเข้าหากันอัตโนมัติ สังเกตุได้ว่าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะมีหน้าต่างเปิดขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีการเชื่อมต่อกันแล้ว </span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#3333ff;">4.</span> เราสามารถ copy ไฟล์ต่างๆ ที่เราต้องการลงเข้ามือถือได้ทันที </span><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#3333ff;">5.</span> หลังจากเลิกใช้งานแล้ว ให้ Turn off Infrared สำหรับโทรศัพท์มือถือด้วย</span>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-10967622630478164342007-01-06T06:53:00.000-08:002007-01-06T06:56:46.501-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<span style="font-family:verdana;"><span style="color:#6600cc;">คุณสมบัติเด่นของ</span> <span style="color:#ff0000;">Infrared</span></span><br /><span style="font-family:verdana;">• คลื่นสั้น ทางเดินของแสงเป็นแนวตรง </span><br /><span style="font-family:verdana;">• ราคาถูก </span><br /><span style="font-family:verdana;">• ง่ายต่อการผลิต </span><br /><span style="font-family:verdana;">• ปลอดภัยต่อการดักสัญญาณ </span><br /><span style="font-family:verdana;">• ไม่สามารถทะลุผ่านวัตถุ ทำให้สามารถติดตั้ง Infrared ในห้องทำงานติดกันได้ </span><br /><span style="font-family:verdana;color:#cc33cc;">ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ Infrared</span><br /><span style="font-family:verdana;">1. Remote Control ของโทรทัศน์ </span><br /><span style="font-family:verdana;">2. โทรศัพท์มือถือ </span><br /><span style="font-family:verdana;">3. PDA, Palm</span><br /><span style="font-family:verdana;">4. คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค</span><br /><span style="font-family:verdana;">5. เครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ (Hand held) หรือเครื่องขนาดฝ่ามือ (palmtop)</span><br /><span style="font-family:verdana;">6. เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์สําหรับสํานักงานบางรุ่น</span><br /><span style="font-family:verdana;">7. เครื่องเลเซอร์ในการรักษาโรค</span><br /><span style="font-family:verdana;">8. กล้องส่องทางไกล</span>nakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-43715689145813159292007-01-06T06:49:00.000-08:002007-01-06T06:53:11.235-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared) (รังสีอินฟราเรด)<span style="color:#33cc00;">รังสีอินฟราเรด</span> <span style="color:#ff0000;">(INFRARED)</span> <span style="color:#33cc00;">สามารถอธิบายได้ดังนี้</span><br /> เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในระหว่างแสงที่ตามองเห็น<br /> ลำแสงอินฟราเรดเดินทางเป็นเส้นตรง ไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสงและสามารถสะท้อนแสงในวัสดุผิวเรียบได้เหมือนกับแสงทั่วไป ใช้มากในการสื่อสารระยะใกล้ เช่น รีโมทคอนโทรลของเครื่องรับโทรทัศน์<br /> ปัจจุบันถูกพัฒนาใช้ในการสื่อสารไร้สาย สำหรับเครือข่ายเฉพาะบริเวณ<br /> เมื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายสามารถส่งสัญญาณได้ในระยะ 30-80 ฟุต หรือ 10-30 เมตร<br /> เป็นสื่อที่มีช่องสัญญาณกว้างพอประมาณในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสายยูทีพี<br /> อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีช่องสื่อสารอินฟราเรด เรียกว่า IrDa (Infrared Data Association)สามารถสั่งงาน<br /> ระยะไกลประมาณ1 – 5 เมตร<br /> เป็นระบบสำหรับควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ จากระยะไกล โดยรังสีอินฟราเรดจะเป็นตัวนำคำสั่งจากเครื่องควบคุม<br /> ไปยังเครื่องรับnakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-45004715605764738812007-01-06T06:44:00.000-08:002007-01-06T06:48:59.582-08:00แสงอินฟราเรด (Infrared)<span style="color:#ff0000;">ความหมายของแสง</span> <span style="color:#cc66cc;">:</span> <span style="color:#ff0000;">INFRARED</span><br /><span style="color:#ff9900;">Infrared </span>คืออะไร<br />คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1011 – 1014 เฮิรตซ์ หรือความยาวคลื่น 10-3 – 10-6 เมตร เรียกว่า รังสีอินฟราเรด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คลื่นความถี่สั้น (Millimeter waves)ซึ่งจะมีย่านความถี่คาบเกี่ยวกับย่านความถี่ของคลื่นไมโครเวฟอยู่บ้างวัตถุร้อนจะแผ่รังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า 10-4 เมตรออกมา ประสาทสัมผัสทางผิวหนังของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรดnakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3939294740840831387.post-54212886896137796682006-12-07T05:14:00.000-08:002006-12-07T06:16:33.291-08:00Infared light<span style="color:#3366ff;">ความหมาย</span><br />infrared เป็นแสงที่เรามองไม่เห็นดังนั้นหากจะดูก็ต้องใช้ตัวรับที่สามารถถอดรหัสได้ แล้ว เมื่อถอดรหัสแล้ว ก็ต้องใช้ scope มาจับ แต่คราวนี้หากข้อมูลมากเกินไปหรือคุณไม่มีก็เสร็จ ผมมีตัวจับรูปของ infrared เขียนด้วยตัวเอง และ ทำออกขายด้วย เชิญมาดู การจับสัญญาณ infrared เพื่อควบคุม mouse ใน pc ด้วย remote tv ธรรมดาๆ<br /><span style="color:#cc66cc;">หลักการทำงาน</span><br />หลักการของวงจรอินฟาเรด ตัวส่งแบบใชกับโมดูลรับสำเร็จรูป(3ขา) จะส่งด้วยความถี่ 40KHzโดยประมาณ ประโยชน์เพื่อเป็นความถี่หลักในการตรวจรับว่าเป็นสัญญาณตัวจริงไม่ไช่สัญญาณรบกวน ตัวรับแบบโมดูล(3ขา) โมดูลจะรับสัญญาณที่กระพริบด้วยความถี่ประมาณ 40KHz ถ้าตรงก็จะให้เอาท์พุทที่ขาเอาท์พุทเป็น"0<br />หลักการของมันก็มีแค่ส่งแสงอินฟราเรดไปยังวัตถุที่ต้องการตรวจจับ ถ้าพบวัตถุนั้นก็จะสะท้อนแสงกลับมายังตัวรับ สีที่สะท้อนได้ดีที่สุดก็คือสีขาว ถ้าเป็นสีดำจะดูดกลืนได้มากกว่า<br /><span style="color:#ff0000;">ทั่วไป</span><br />infrared เป็นแสงที่เรามองไม่เห็นดังนั้นหากจะดูก็ต้องใช้ตัวรับที่สามารถถอดรหัสได้ แล้ว เมื่อถอดรหัสแล้ว ก็ต้องใช้ scope มาจับ แต่คราวนี้หากข้อมูลมากเกินไปหรือคุณไม่มีก็เสร็จ ผมมีตัวจับรูปของ infrared เขียนด้วยตัวเอง และ ทำออกขายด้วย เชิญมาดู การจับสัญญาณ infrared เพื่อควบคุม mouse ใน pc ด้วย remote tv ธรรมดาๆ เชิญมาดู การควบคุม hardware ผ่านหน้าจอของ nescape และ ie เชิญมาดูตัวโปรแกรมตรวจจับ infrared ที่สามารถถอดรหัสและแสดงรูปกราฟได้ ทุกอย่างทำเองหมด ไม่มีลอกแบบจากที่ไหน http://go.to/c51 เรียน 8051 กับผู้มีประสบการณ์จริง ผู้ที่คิดงานและขายงานลิขสิทธิ์ให้กับโรงงานหลายต่อหลายตัว มาดูด้วยตัวเอง ดีกว่าฟังคนอื่นพูด<br /><strong><span style="color:#ff6600;">ประเภท</span></strong><br />sensor อะไรก็แล้วแต่มีหลักการเหมือนกัน คือต้องมีตัวส่งสัญญาณ แล้วก็ตัวรับสัญญาณ แล้วก็เอา สัญญาณ ที่ได้จากตัวรับ มาประมวลผล คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเอา sensor นั้นไปใช้งานทำอะไร อย่างเช่นคำว่า infrared sensor ก็คือบอกว่า เป็น sensor ที่ใช้สื่อสัญญาณ เป็น infrared light มันบอกแค่นั้น มันยังไม่ได้บอกว่าเอาไปใช้ทำอะไร ตัวอย่างเช่น เอา infrared sensor ไปใช่ตรวจจับวัตถุ เมื่อมีวัตถุผ่านทางวิถีของ infrared light หลักการทำงานของวงจรก็คือ ทางด้านฝั่งส่งสัญญาณ infrared ก็ทำหน้าที่ของมันซะ คือขับ infrared light ให้ออกจาก infared LED จะทำไง จะเอาให้แรงแค่ไหนก็ได้ แล้วก็ไปตั้งตัวรับ เอาง่ายๆจะใช้เป็น photo transistor ก็ได้ แต่ตั้ง set up ค่าในสภาวะปกติให้ดีก่อน คือให้วงจร bias แยกให้ได้ว่า สภาวะนี้มีแสง infrared มาหรือเปล่า หรือไม่มี ก็จบ<br /><span style="color:#cc9933;">ประเภท(ต่อ)</span><br />เซ็นเซอร์แบบอินฟาเรดเป็นเซ็นเซอร์ที่อยู่ในแบบใช้แสง(optic sensor) การที่จะใช้อินฟาเรดเป็นตัวเซ็นเซอร์เราต้องคำนึงถึงว่าเราจะนำอินฟาเรดไปตัวจับหรือเซ็นเซอร์อะไร คุณต้องคิดถึงหลักความจริงว่าเซ็นเซอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งไม่สามารถจะให้อะไรตามใจเราต้องการได้ อาจมีผลกระทบต่างๆเช่น แสงที่กระทบต่อผลการตรวจจับทำให้ข้อมูลที่ได้มาผิดพลาด ขึ้นอยู่กับการติดตั้งเซ็นเซอร์มากกว่าและการออกแบบระบบหรือวงจรนั่นเอง ซึ้งเอ้าพุทของเซ็นเซอร์แต่ละตัวจะออกมาเป็นสัญญาณซึ้งเราต้องนำเอ้าพุทนั้นไปประมวลผลหรือแปลงสัญญาณ เพื่อจะให้ได้สัญญาณที่เหมาะสมเพื่อจะทำการเอาสัญญาณนั้นไปใช้ส่วนมากเอ้าพุทที่ออกมาจะเป็นแรงดันหรือไม่ก็กระแส ซึ้งเราก็นำเอากระแสหรือแรงดันนั่นไปไบอัสหรืเป็นตัวทริกให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการควบคุมเพียงแค่น้คุณก็ สามารถควบคุมวงจรหรือุปกรณ์อิเล็กต่างๆได้แล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับมันสมองของคุณแล้วแหละที่จะต้องนำสัญญานนั้ไปประยุกต์ ไปใช้ควบคุมอะไร หลักการทำงานก็ไม่มีอะไรมากสรุปคือ จะมีตัว อินฟาเรดเป็นตัวส่งสัญญาณและมีตัวรับ หรือไม่ก็มีตัวส่งสัญญาณแล้วกระทบแล้วสะท้อนแสงมายังตัวรับ ซึ่งตัวรับจะเป็นตัวส่งสัญญาณซึ่งสัญญาณที่ได้เป็นกระแสและแรงดัน ซึ่งเรานำเอาสัญญาณซึ่งเป็นกระแสและแรงดันนั่นไปใช้งานต่างๆ<br /><span style="color:#009900;">ประเภท(ต่อ)</span><br />เซ็นเซอร์แสง สามารถทำได้หลายๆแบบ แต่ละแบบทำงานในลักษณะเดียวกันคือมีตัว ส่งแสงอินฟาเรดไปกระทบวัตถุ ถ้าวัตถุนั้นสามารถสะท้อนแสงได้ดีแสงดังกล่าวก็จะมาเป็น อินพุตให้อุปกรณ์รับแสงซึ่งอาจจะเป็น โฟโต้ไดโอด โฟโต้ ทรานซิสเตอรื หรือ แอลดีอาร์ข ก็ได้หืออาจจะใช้อุปกรณ์ เซ็นเซอร์แสงแบบสำเร็จก็มีขาย คือมีทั้งตัวส่งและตัวรับในตัวถังเดียวกันครับ แต่ถ้าวัตถุไม่สะท้อนแสงหรือสะท้อนแสงได้น้อย เช่นวัตถุสีดำ ตัวรับก็จะไมม่นำกระแสหรือนำกระแสเพียงเล็กน้อย ผลจากการเปลี่ยนแปลงของเซ็นเซอร์สามารถนำไปเข้าวงจรเปรียบเทียบแรงดันให้เป็นค่า ลอจิก ซึ่งจะง่ายกับการนำไปควบคุมงานที่ได้ออกแบบ<br /><span style="color:#006600;">ประเภท(ต่อ)</span><br />ใช้อินฟราเรดเซ็นเซอร์สิ่งที่ควรคำนึงมากอีกสิ่งหนึ่งคือ แสงอินฟาเรดจากภายนอกซึ่งมีอยู่ทั่วๆไปและมีมากในตอนกลางวันและวันที่ฟ้าโปร่งโล่งโจ้งโจ๋งครึ่ม ผมว่าทางที่ดีควรจะใช้การ Mod ด้วยอะไรซักอย่างเข้าไปนะครับ อาจจะเป็น PCM ก็ได้ซึ่งจะช่วยได้ในระดับหนึ่งnakasut007sterhttp://www.blogger.com/profile/09953260115202747003noreply@blogger.com21